เทียบเสียงโฟนิคส์ภาษาอังกฤษเป็นเสียงในภาษาไทย
เทียบเสียง
- a แอะ
- b เบอะ
- c เคอะ
- d เดอะ
- e เอะ
- f ฟึ สำเสียงลอดไรฟัน ฟันบนแตะริมฝีปากล่าง ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiceless –> /f/
- g เกอะ
- h ฮะ อันนี้เป่าแค่ลมเหมือนกัน ทำเสียงเหมือนโฆษณายาสีฟันน่ะค่ะ ฮ่ะๆๆๆ ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiceless –> /h/
- i อิ
- j เจอะ ต้องทำปากเพยอเล็กน้อย เเบบวัยรุ่นพูดจอจานไม่ชัด ฮ่ะๆๆ
- k เคอะ ออกเสียงเหมือนกันกับตัว c ค่ะ
- l ออกเสียงคล้าย อัล ลิ้นแตะเพดานค่ะ ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /l/
- m มึม พูดเร็วๆจะได้เสียง m ปากต้องปิดเวลาออกเสียง ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /m/
- n อึน ปากต้องเปิด ลิ้นแตะเพดาน ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /n/
- o เอาะ
- p เพอะ
- q คุวะ
- r อะเรอ พูดเร็วๆจะได้เสียง r ลิ้นไม่แตะอะไรเลย ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /r/
- s สึ
- t ทึ
- u อะ
- v เวอะ ฟันบนแตะริมฝีปากล่างดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /v/
- w เวอะ ฟันไม่แตะอะไร ทำปากปกติ ดูวิธีการออกเสียงตามลิ๊งค์บน ให้เลือก voice—>voiced –> /v/
- x เอะคะสึ พูดเร็วๆจะได้เสียง x ค่ะ
- y เยะ
- z ซึ คล้าย s แต่ซู่กว่า วิธีการออกเสียง voice —>voiced —>/z/
2. การลงเสียงเน้นหนักในคำ
การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษ Stress
ลักษณะสำคัญของภาษาอังกฤษคือ มีการออกเสียงเน้นหนักเบา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่งสำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา เพราะถ้าออกเสียงเน้นหนักผิดพยางค์ก็อาจจะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องออกเสียงเน้นหนักเบาให้ถูกต้อง เรามาเริ่มกันเลย
1. ระดับเสียงเน้นหนักที่สุด (Primary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( , ) หน้าพยางค์ที่ลงเสียงหนักที่สุดในคำนั้น มีที่สังเกตคือ เสียงดังที่สุดและเสียง pitch สูงจะเกิดในคำเดี่ยวทุกครั้ง เช่น calendar
2. ระดับเสียงรอง (Secondary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ^ ) เหนือพยางค์ที่ลงเสียงรอง เช่น êducátion พยางค์แรกจะได้ secondary stress แต่พยางค์ที่สามจะได้primary stress
3. ระดับเสียงเบาปานกลาง (Teritiary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ` ) เหนือพยางค์ระดับเสียงนี้จะเกิดรวมกับ primary stress ในคำเดี่ยว ๆ ที่มีหลายพยางค์ เช่น fÓotbàll
4. ระดับเสียงเบาที่สุด (Weak Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ˇ ) เหนือพยางค์ หรือไมjใส่เครื่องหมายใด ๆ เลย โดยถือว่าพยางค์ที่ไม่มีเครื่องหมายกำกับคือ การไม่ลงเสียงหนัก (unstress) เช่น ŕhythm (พยางค์ที่สองเป็นเสียงเบา)
นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress)
นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress)
1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
เสียงเน้นหนักในคำ คือ การเน้นเสียงหนักในพยางค์หนึ่งของคำโดยที่ผู้พูดจะออกเสียงพยางค์นั้นดังกว่าพยางค์อื่น ๆในคำเดียวกัน เช่น páper, contínueเป็นต้น คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะมีพยางค์หนึ่งเท่านั้นที่ได้รับเสียงหนักเสมอผู้เรียนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงการออกเสียงเน้นหนักในแต่ละคำให้ถูกต้องเสียก่อน
หลักเกณฑ์สำหรับการลงเสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress) และในพยางค์(Syllabic Stress) ที่พอจะสรุปได้มีดังนี้
1. การลงเสียงเน้นหนักในคำที่มี 2 พยางค์ขึ้นไป
ในคำสองพยางค์ขึ้นไปเสียงเน้นหนักสุดจะได้แก่ primary stressเสียงที่รองลงมาจะเป็น secondary stress ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ต้นของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์ คำสามพยางค์ คำสี่พยางค์
húsband póssible críticism
télephone spécialist ańswer
prógram ánimal écretary
órange ínnocent
súbject béautiful
คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ที่สองของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์ คำสามพยางค์ คำสี่พยางค์
cashíer proféssor affírmative
helló relátion philósopher
prefér impórtant devélopment
corréct eléven signíficant
resígn phonetic
2. การลงเสียงเน้นหนักในคําประสม
คํานามประสม
a. คํานามประสมระหว่างคํานามกับคํานามเวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่สุดที่ส่วนแรกหรือคํานามแรก เช่น
téapot drúgstorebús station
fóotball hándbagbírthday cake
eárthquake hóusewifelánguage laboratory
แต่ถ้าคํานามประสมที่ประกอบด้วยคํานาม 3 คํา บางครั้งจะเน้นหนักที่คําที่สอง เช่น
waste-páper-basket
ginger-béer-bottle
หรืออาจจะมีการเน้นเสียงลงบนคำที่หนึ่งที่สองก็ได้ เช่น
hót wáter-bottle
b. คำนามประสมระหว่างคำคุณศัพท์กับคำนาม เวลาออกเสียงเน้นหนักที่สุดที่คำแรกคือที่คำคุณศัพท์ เช่น
bláckbird hígh school hótdog díning room
c. คำนามประสมระหว่างคำกริยากับคำนาม เวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่สุดที่คำแรก เช่น
wálking stick wríting pad líving room
คำกริยาประสม
a. คำกริยาประสมระหว่างคำบุพบทกับคำกริยา เวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่สุดที่คำหลัง เช่น
understánd overlóok overcóme undertáke
b. คำกริยาประสมประเภทคำกริยาสองคำ (two-word-verbs) เวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่คำหลังคือที่คำวิเศษณ์หรือบุพบทนั้น
call úp get ón watch óut take óff
put ón give úp take óver look áfter
c. คำกริยาประสมประเภทคำกริยาสามคำ (three-word-verbs) เวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่ส่วนประกอบส่วนที่สอง เช่น
run óut of get alóng with catch úp with take cáre of
คำคุณศัพท์ประสม
a. คำคุณศัพท์ประสมระหว่างคำคุณศัพท์กับคำคุณศัพท์เวลาออกเสียงจะเน้นเสียงหนักที่คำคุณศัพท์คำแรก เช่น
cóld-blooded bád-tempered
b. คำคุณศัพท์ประสมระหว่างคำนามกับคำคุณศัพท์ เวลาออกเสียงจะเน้นเสียงหนักที่คำนาม
péach-coloured
คำประเภทอื่น ๆ
a. คำที่ลงท้ายด้วย –self หรือ –selves (reflexive pronouns) เวลาออกเสียงจะลงเสียงเน้นหนักที่ส่วนหลังคือที่ –self หรือ –selves เช่น
mysélf himsélf yoursélf oursélves
b. คำที่ลงท้ายด้วย –teen จะลงเสียงหนักที่ส่วนหลังคือคำว่า –teen แต่ตรงกันข้ามกับคำว่า –ty จะลงเสียงหนักที่ส่วนหน้า
sixtéen síxty
c. คำสองพยางค์ที่เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา ถ้าเป็นคำนามลงเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรกของคำถ้าเป็นคำกริยาลงเสียงเน้นหนักที่พยางค์หลังของคำคำนามคำกริยา
ábstract abstráct
cóntest contést
récord recórd
désert desért
prógress progréss
éxploit exploít
cónduct condúct
íncrease incréase
cónflict conflíct
dígest digést
d. คำที่ลงท้ายด้วย suffix ต่อไปนี้ –tion, -sion, -ic, -ian, -tor, -ious,-ity, -ify, -itive, -ish จะเน้นหนักที่พยางค์หน้า suffix นั้น
-tion -sion
informátion discússion
imaginátion comprehénsion
-ic -ian
públic librárian
Pacífic comédian
-ious -tor
calculátor suspícious
diréctor tédious
-ify -ty
nobílity clássify
univérsity beáutify
-ish -itive
pósitive estáblish
sénsitive accómplish
e. คำที่เติม prefix หน้าคำ และเติม suffix ท้ายคำ เวลาออกเสียงจะเน้นเสียงหนักที่พยางค์เดิมของคำที่ยังไม่ได้เติม prefix หรือ suffix นั้น
cleverness retúrn
abándonment unimpórtant
wónderful impóssible
qúickly kíndness
f. คําที่มีตั้งแต่ 3 พยางค์ขึ้นไป ถ้าพยางค์ท้ายลงท้ายด้วย –al, -ate, -ble, -lly, -lar, -ment, y เวลาออกเสียงจะเน้นหนักที่พยางค์ที่สามนับจากพยางค์ท้าย
-ate -al
appréciate oríginal
lassóciate práctica
-ble -lly
póssible áctually
suítable náturally
-lar -ment
fórmular góvernment
pópular mánagement
-y
photógraphy moméntary
นอกจากนี้ จะยกตัวอย่างที่ลงเสียงหนักต่างกัน ซึ่งจะทําให้มีความหมายต่างกันได้
1. green house = a house that is green
greenhouse = a grass structure used for growing plants.
2. black bird = any bird that is black.
blackbird = a particular kind of bird.
3. white house = a house that is white in color.
White House = the residence of the President of the U.S.
4. cheapskates = people that are stingy.
cheap skates = inexpensive skates.
5. longboat = a particular kind of boat.
ong boat = any boat that is long.
2. เสียงเน้นหนักในประโยคและจังหวะ (Sentence Stress and Rhythm)
การลงเสียงเน้นหนักในประโยคก็เป็นสิ่งจําเป็นที่ผู้พูดควรต้องลงเสียงเน้นหนักให้ถูกต้อง เพราะจะมีความแตกต่างกันไปคือ ในประโยคภาษาอังกฤษอาจจะมีการเน้นเสียงหนักในคําได้หลายแห่ง บางประโยคอาจมีการเน้นถึง 3-4 แห่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความยาวของประโยคและความหมายที่ผู้พูดต้องการให้เข้าใจ ส่วนคําหรือพยางค์ ที่ไม่เน้นอาจจะมีการออกเสียงเร็วและรวบมากขึ้น เสียงเน้นหนักในประโยคนี้มักจะตกลงบนพยางค์ที่ลงเสียงเน้นหนักตัวสุดท้ายของประโยค แต่เสียงเน้นหนักในประโยคก็อาจจะเลื่อนจากคําหนึ่งไปอีกคําหนึ่งได้ในประโยคนั้น และความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วยในเวลาที่เสียงเน้นหนักเปลี่ยนที่ไป ดังนั้น จึงมีข้อพึงระวังในการพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามลักษณะภาษา ดังนี้
1. การลงเสียงเน้นหนักในประโยคต้องลงให้ถูกต้อง มักจะลงเสียงหนักที่คําจําพวก content words ซึ่งเป็นคําประเภทที่มีความหมายในตัวเอง ได้แก่พวกคําnouns,verbs, adjectives, demonstratives or Interrogative ส่วนคําจําพวกfunction words ซึ่งเป็นคำพวกไม่ค่อยมีความหมายหรือมี ความหมายน้อยจะลงเสียงเบาได้แก่พวก articles, prepositions, pronouns, conjunctions, auxiliary verbs และ relative pronouns เช่น
He won it in the afternoon.
She can swim.
แต่ถ้าลงเสียงหนักที่คําประเภท function words ในประโยคนั้น ก็แสดงว่าผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังสนใจจุดนั้น ๆ เช่น
Bob got the first prize. (not you or Jim)
The teacher will give it to her. (not to him)
2. การออกเสียงพยางค์ ที่ไม่ลงเสียงเน้นหนัก เรามักออกเสียงเบาหรือบางครั้งตัดเสียงพยัญชนะหน้าหรือหลังออกตามความนิยมของเจ้าของภาษา ซึ่งอันนี้จะเป็นปัญหาสําหรับคนไทยที่จะให้ความสําคัญของคําแต่ละคําเท่ากันหมด
I don’t like them. / ai don’t laik >m /
คําที่โดยทั่วไปจะไม่ลงเสียงเน้นได้แก่ a, an, and, of, or, the และ toนอกจาก
คําพวกนี้ก็ยังมีคําประเภท function words อื่น ๆ อีก
get an egg / gεt әn εg /
both of you / bouθ әv yu /
3. ในการพูดประโยคยาว ๆ นั้น เรามักจะหยุดเล็กน้อยระหว่างห่วงความคิด
(thought group) ก็เพื่อเหตุผลดังนี้
3.1 ช่วยให้ความหมายของสิ่งที่ผู้พูดต้องการพูดเด่นชัดขึ้น เช่น
When my husband comes home / I’ll tell him the truth.
3.2 เพื่อจะเน้นข้อความที่เราต้องการสื่อความหมายเป็นพิเศษ
3.3 ถ้าเป็นประโยคยาว ๆ เราหยุดเพื่อผ่อนลมหายใจก่อนพูดต่อไป เช่น
His parents / come from America/ to see their new grandson.
4. การออกเสียงเชื่อมคําหรือพยางค์ (Linking) การออกเสียงเชื่อมคำหรือพยางค์อาศัย ความเข้าใจในเรื่องการแบ่งห้วงความคิดเป็นสําคัญ จะมีการทอดเสียงสุดท้ายของคําหน้าให้ต่อเนื่องกับเสียงแรกของคําต่อไป โดยเฉพาะเสียงแรกของคําต่อไปที่เป็นสระ เช่น
one or two
bacon and eggs
ที่มา : http://wantongnoon.blogspot.com/
3. ระดับเสียงสูงต่ำในประโยคอย่างถูกต้อง
Intonation
นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation แล้ว intonation คืออะไร? มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค จะมีการขึ้น การลงของเสียง ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้ นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation แล้ว intonation คืออะไร? มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค จะมีการขึ้น การลงของเสียง ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้ นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
โดยปกติแล้ว รูปแบบของ intonation ในภาษาอังกฤษจะมี 2 รูปแบบหลักๆคือ
1. falling intonation การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง
1. falling intonation การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง
หลักการใช้คร่าวๆของแต่อันมีดังนี้ค่ะ
1. falling intonation ให้สังเกตคำที่ขีดเส้นใต้จะเป็นคำที่ลงเสียงต่ำ
1.1 ใช้กับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ธรรมดา เช่น
1.1 ใช้กับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ธรรมดา เช่น
- It was quite bad.
- I want to see him again.
1.2 ใช้สำหรับคำลงท้ายของประโยคคำถามแบบ Wh-question เช่น
- What do you usually eat for lunch?
- Who is that?
- What’s it?
1.3 ใช้กับประโยคคำสั่งที่เน้น เช่น
- Don’t make loud noise.
- Sit down.
2. rising intonation
2.1 ใช้ลงท้ายประโยคคำถามที่เป็นแบบ yes / no question
2.1 ใช้ลงท้ายประโยคคำถามที่เป็นแบบ yes / no question
- Is she a teacher?
- Have you seen him?
- Can I see it?
2.2 ใช้กับประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เราต้องการให้มันเป็นคำถาม เช่น
- You like it?
- I can’t go?
2.3 ใช้ในการแสดงการทักทาย เช่น
- Good Morning
- Good afternoon
- Good evening
2.4 เวลาต้องการเกริ่นนำก่อนเข้าเนื้อหา เราสามารถพูดวลีที่เป็นการเกริ่นนำให้เป็นเสียงสูงได้ เช่น
- As we know, Thailand is an agricultural country.
2.5 ในการพูดถึง สิ่งของที่มีหลายอย่างเป็นหมวดหมู่ เรามักขึ้นเสียงสูงทุกคำแล้วลงเสียงต่ำที่คำสุดท้าย เช่น
- I like to eat vegetables like carrot, tomato, and cabbage.
** เมื่อเราออกเสียงได้ชัดเจน น่าฟัง มีการใช้เสียงสูงต่ำ ไวยากรณ์ถูกต้อง ใช้ศัพท์ได้หลากหลาย ก็จะทำให้ภาษาอังกฤษของเราคล้ายกับเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้นค่ะ ^^
ที่มา : http://www.pasaangkit.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9/
สรุปได้ว่า
การออกเสียงภาษาอังกฤษ
เทียบเสียงโฟนิคส์ภาษาอังกฤษเป็นเสียงในภาษาไทยมีดังนี้
เทียบเสียง
a แอะ b เบอะ c เคอะ d เดอะ
e เอะ f ฟึ ทำเสียงลอดไรฟัน ฟันบนแตะริมฝีปากล่าง g เกอะ
h
ฮะ อันนี้เป่าแค่ลมเหมือนกัน i อิ j เจอะ ต้องทำปากเพยอเล็กน้อย k เคอะ l ออกเสียงคล้าย อัล
ลิ้นแตะเพดานค่ะ m มึม n อึน o เอาะ p เพอะ q คุวะ r อะเรอ s สึ t ทึ
u อะ v เวอะ w เวอะ ฟันไม่แตะอะไร ทำปากปกติ x เอะคะสึ พูดเร็วๆจะได้เสียง x y เยะ z ซึ คล้าย s แต่สูงกว่า
การลงเสียงเน้นหนักในคำ
เสียงเน้นหนักในคำ
(Word Stress)
เสียงเน้นหนักในคำ คือ
การเน้นเสียงหนักในพยางค์หนึ่งของคำโดยที่ผู้พูดจะออกเสียงพยางค์นั้นดังกว่าพยางค์ อื่น
ๆในคำเดียวกัน เช่น páper, contínueเป็นต้น
คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะมีพยางค์หนึ่งเท่านั้นที่ได้รับเสียงหนักเสมอ ผู้เรียนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงการออกเสียงเน้นหนักในแต่ละคำให้ถูกต้องเสียก่อน
หลักเกณฑ์สำหรับการลงเสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress) และในพยางค์(Syllabic Stress) ที่พอจะสรุปได้มีดังนี้
1. การลงเสียงเน้นหนักในคำที่มี 2 พยางค์ขึ้นไป
2. การลงเสียงเน้นหนักในคําประสม
คํานามประสม

👏👌👍😘
ตอบลบ